7 จำนวนผู้เข้าชม |
1. บดผิดชีวิตเปลี่ยน
การบดเมล็ดกาแฟคั่วไม่เหมาะสมส่งผลโดยตรงต่อรสชาติของกาแฟ หากบดหยาบเกินไป จะทำให้สกัดกาแฟได้น้อย ส่งผลให้รสชาติ “จืด” และขาดมิติ แต่หากบดละเอียดเกินไป จะเกิดการสกัดมากเกินจำเป็น ทำให้รสขมโดดออกมา
แม้ที่ร้านจะใช้เครื่องบดที่สามารถปรับระดับความละเอียดได้อย่างแม่นยำ แต่หากเราใช้เครื่องบดมือ (hand grinder) ก็มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้ง่าย
ขนาดการบดมีผลต่อการสกัดสารประกอบในเมล็ดกาแฟคั่วอย่างมีนัยสำคัญ การบดที่ไม่สม่ำเสมออาจทำให้กาแฟรสไม่สมดุลและเสียรสชาติโดยรวม
2. อุณหภูมิน้ำสำคัญกว่าที่คิด
หากใช้น้ำอุณหภูมิสูงเกินไป จะทำให้กาแฟถูกสกัดมากเกินจำเป็น ส่งผลให้เกิดรสขม
หากน้ำอุณหภูมิต่ำเกินไป การสกัดจะไม่เพียงพอ ทำให้กาแฟมีรสจืดและไม่ชัดเจน
ร้านกาแฟคุณภาพมักควบคุมอุณหภูมิน้ำให้อยู่ในช่วง 92–96°C ซึ่งเป็นช่วงที่เหมาะสมในการสกัดกลิ่น รส และบอดี้ของเมล็ดกาแฟคั่วออกมาได้อย่างสมดุล
3.สัดส่วนกาแฟ ต่อ น้ำ ไม่แม่น
ร้านมักใช้ scale ชั่งเป๊ะ เช่น 1:15 หรือ 1:16
แต่เราบางที "ตักตามใจ" มีผลให้รสชาตเปลี่ยนได้ทุกวัน
สัดส่วนกาแฟต่อน้ำมีผลต่อความเข้มข้นและการสกัดของกาแฟ โดยสัดส่วนที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้กาแฟมีรสอ่อนหรือเข้มเกินไป
4. น้ำที่ใช้มีผลต่อรสชาติที่ต่างกัน
คุณภาพน้ำคือหัวใจสำคัญในการดึงรสชาติของเมล็ดกาแฟคั่วออกมา
น้ำกรองหรือ RO มักให้รสเปรี้ยวนำ หรือบางเบา เนื่องจากไม่มีแร่ธาตุที่ช่วยเสริมการสกัดอย่างเต็มที่ แม้จะให้กลิ่นชัดเจนแต่ body มักเบา
ในขณะที่น้ำแร่ ซึ่งมีค่า pH ใกล้กลาง (6.8–7.2) และมี Alkalinity และ Hardness ที่เหมาะสม จะช่วยดึงรสชาติออกมาได้อย่างสมดุล ให้ความหนาแน่นของ body และรสขมที่กลมกล่อมขึ้น
ที่ร้านบางแห่งที่ชงอร่อยเป็นพิเศษ มักใช้น้ำที่ผ่านการออกแบบค่าความด่างอย่างพิถีพิถัน เพื่อให้เหมาะกับเมล็ดกาแฟคั่วแต่ละประเภทโดยเฉพาะ
5. เวลา และ ความเสถียรของมือเรา
บาริสต้ามืออาชีพในร้านกาแฟผ่านการฝึกฝนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อควบคุมเวลาและการเทน้ำให้นิ่งและสม่ำเสมอ
ในขณะที่การชงเองที่บ้านอาจยังขาดความชำนาญ การเคลื่อนไหวที่ไม่มั่นคง ส่งผลให้การสกัดสารจากเมล็ดกาแฟคั่วไม่สม่ำเสมอ
การฝึกฝนจนชินมือและสร้างความเสถียรในการชงจึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ช่วยให้ได้กาแฟคุณภาพในทุกแก้ว